Temperature gauge ประเภทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมที่คุณควรรู้

ประเภท Temperature gauge

Temperature gauge ประเภทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมที่คุณควรรู้

เวลาพูดถึงเครื่องวัดอุณหภูมิหรือ temperature gauge บางคนอาจจะคิดถึงเครื่องที่มีหน้าปัดและเกจวัดอุณหภูมิแบบเข็มชี้บ่ง แต่บางคนก็อาจจะนึกถึง เทอร์โมมิเตอร์แบบปรอท นั่นก็เป็นเพราะว่าในอุตสาหกรรมตอนนี้ temperature gauge มีมากมายหลายรูปแบบให้เลือกใช้กัน ยิ่งใครที่เป็นมือใหม่ก็คงจะไม่แปลกที่งง ดังนั้นในวันนี้เราไปดูพร้อมกันเลยว่ามี temperature gauge  ประเภทไหนบ้าง

Bimetallic Temperature Gauge

Bimetallic temperature gauge เป็นหนึ่งในประเภทของ temperature gauge ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรม เนื่องจากมีโครงสร้างที่ไม่ซับซ้อน ทนทาน และไม่ต้องใช้แหล่งพลังงานภายนอก

หลักการทำงาน Bimetallic temperature gauge อาศัยหลักการขยายตัวที่แตกต่างกันของโลหะสองชนิดเมื่อได้รับความร้อน โดยทั่วไปจะใช้แถบโลหะสองชนิดที่มีค่าสัมประสิทธิ์การขยายตัวเชิงเส้นต่างกัน เช่น เหล็กกล้าไร้สนิมและทองเหลือง นำมาเชื่อมติดกันเป็นแผ่นบาง เมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง แถบโลหะจะโค้งงอ และถูกแปลงเป็นการหมุนของเข็มชี้บนหน้าปัด

ข้อดี

  • ไม่ต้องใช้แหล่งพลังงานภายนอก
  • โครงสร้างแข็งแรง ทนต่อการสั่นสะเทือน
  • ราคาไม่แพง และบำรุงรักษาง่าย

ข้อจำกัด

  • ความแม่นยำอาจไม่สูงนักเมื่อเทียบกับ temperature gauge ประเภทอื่น
  • อาจมีความล่าช้าในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลัน

การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม

  • ใช้วัดอุณหภูมิในท่อส่งน้ำร้อนและไอน้ำในโรงงานอุตสาหกรรม
  • ติดตั้งในเครื่องจักรกลเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิการทำงาน
  • ใช้ในระบบปรับอากาศและทำความเย็นในอาคารโรงงาน

Filled System Temperature Gauge

Filled system temperature gauge เป็นอีกหนึ่งประเภทของ temperature gauge ที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในงานที่ต้องการความแม่นยำสูงและสามารถวัดอุณหภูมิจากระยะไกลได้

หลักการทำงาน Filled system temperature gauge โดยมีส่วนประกอบ คือ bulb หรือ sensing element, capillary tube และ bourdon tube ภายในระบบบรรจุของเหลว ก๊าซ หรือไอระเหยที่มีคุณสมบัติขยายตัวเมื่อได้รับความร้อน เมื่ออุณหภูมิที่ bulb เปลี่ยนแปลง สารในระบบจะขยายตัวหรือหดตัว ทำให้เกิดแรงดันที่ส่งผ่าน capillary tube ไปยัง bourdon tube ซึ่งจะแปลงแรงดันนี้เป็นการเคลื่อนที่ของเข็มชี้บนหน้าปัด

ประเภทของ Filled System Temperature Gauge

  1. Liquid-filled system ใช้ของเหลว เช่น ปรอท หรือแอลกอฮอล์ เหมาะสำหรับการวัดอุณหภูมิในช่วงแคบ แต่มีความแม่นยำสูง
  2. Vapor-filled system ใช้ของเหลวที่ระเหยง่าย เช่น เอทิลีเตอร์ เหมาะสำหรับการวัดอุณหภูมิในช่วงกว้างและมีการตอบสนองรวดเร็ว
  3. Gas-filled system ใช้ก๊าซเฉื่อย เช่น ไนโตรเจน เหมาะสำหรับการวัดอุณหภูมิในช่วงกว้างมากและทนต่ออุณหภูมิสูง

ข้อดี

  • สามารถวัดอุณหภูมิจากระยะไกลได้ โดยการใช้ capillary tube ที่มีความยาวหลายเมตร
  • มีความแม่นยำสูงกว่า bimetallic temperature gauge
  • สามารถใช้งานได้ในสภาวะที่มีการสั่นสะเทือนสูง

ข้อจำกัด

  • มีความซับซ้อนมากกว่า bimetallic temperature gauge
  • อาจเกิดความผิดพลาดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่ capillary tube
  • ต้องระวังการรั่วซึมของสารในระบบ

การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม

  • ใช้วัดอุณหภูมิในถังปฏิกรณ์เคมีที่มีความดันสูง
  • ติดตั้งในเตาเผาอุตสาหกรรมเพื่อควบคุมอุณหภูมิการเผาไหม้
  • ใช้ในระบบทำความเย็นขนาดใหญ่ในโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร

Thermocouple Temperature Gauge

Thermocouple temperature gauge เป็น temperature gauge ที่อาศัยหลักการทางไฟฟ้าในการวัดอุณหภูมิ ทำให้มีความแม่นยำสูงและสามารถวัดอุณหภูมิได้ในช่วงกว้าง

หลักการทำงาน Thermocouple ประกอบด้วยโลหะต่างชนิดกันสองเส้นเชื่อมต่อกันที่ปลาย เมื่อจุดเชื่อมต่อหนึ่งมีอุณหภูมิต่างจากอีกจุดหนึ่ง จะเกิดแรงดันไฟฟ้าขึ้น ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า Seebeck effect แรงดันไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจะแปรผันตามความแตกต่างของอุณหภูมิ ทำให้สามารถคำนวณอุณหภูมิได้จากค่าแรงดันที่วัดได้

ประเภทของ Thermocouple

  • Type K ใช้โครเมลและอะลูเมล เหมาะสำหรับการวัดอุณหภูมิในช่วง -200°C ถึง 1350°C
  • Type J ใช้เหล็กและคอนสแตนตัน เหมาะสำหรับการวัดอุณหภูมิในช่วง -40°C ถึง 750°C
  • Type T ใช้ทองแดงและคอนสแตนตัน เหมาะสำหรับการวัดอุณหภูมิในช่วง -200°C ถึง 350°C
  • Type E ใช้โครเมลและคอนสแตนตัน มีความไวสูง เหมาะสำหรับการวัดอุณหภูมิต่ำ
  • Type R และ S ใช้แพลทินัมและโรเดียม เหมาะสำหรับการวัดอุณหภูมิสูงถึง 1800°C

ข้อดี

  • สามารถวัดอุณหภูมิได้ในช่วงกว้างมาก
  • มีความแม่นยำสูงและตอบสนองรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
  • ทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น อุณหภูมิสูงมากหรือต่ำมาก

ข้อจำกัด

  • ต้องใช้อุปกรณ์อ่านค่าหรือตัวแปลงสัญญาณเพิ่มเติม
  • อาจเกิดความผิดพลาดจากการเชื่อมต่อที่ไม่เหมาะสมหรือการเกิดกระแสไฟฟ้าวน
  • ต้องมีการชดเชยอุณหภูมิจุดอ้างอิง (Cold junction compensation)

การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม

  • ใช้วัดอุณหภูมิในเตาหลอมโลหะที่มีอุณหภูมิสูงมาก
  • ติดตั้งในเครื่องยนต์เจ็ทเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิก๊าซไอเสีย
  • ใช้ในกระบวนการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำ

RTD (Resistance Temperature Detector) Temperature Gauge

RTD Temperature Gauge เป็นอุปกรณ์วัดอุณหภูมิที่อาศัยหลักการเปลี่ยนแปลงความต้านทานไฟฟ้าของโลหะเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง ทำให้มีความแม่นยำสูงและเสถียรในระยะยาว

หลักการทำงาน RTD ใช้คุณสมบัติของโลหะบางชนิดที่มีความต้านทานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น โดยทั่วไปใช้แพลทินัมเป็นวัสดุหลักในการสร้าง RTD เนื่องจากมีความสัมพันธ์เชิงเส้นระหว่างความต้านทานและอุณหภูมิที่ดี และมีเสถียรภาพสูง การวัดความต้านทานของ RTD ที่เปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิจะถูกแปลงเป็นค่าอุณหภูมิโดยวงจรอิเล็กทรอนิกส์หรือไมโครโพรเซสเซอร์

ประเภทของ RTD

  • Platinum RTD เป็นที่นิยมมากที่สุด มีความแม่นยำสูงและเสถียรในระยะยาว
  • Nickel RTD มีราคาถูกกว่า แต่มีช่วงการใช้งานที่แคบกว่าและความเป็นเชิงเส้นน้อยกว่า
  • Copper RTD มีความไวสูง แต่มักใช้ในช่วงอุณหภูมิต่ำเท่านั้น

ข้อดี

  • มีความแม่นยำสูงมาก โดยเฉพาะในช่วงอุณหภูมิปานกลาง
  • มีความเสถียรในระยะยาว ทำให้ไม่ต้องสอบเทียบบ่อย
  • มีความเป็นเชิงเส้นสูง ทำให้ง่ายต่อการแปลผล

ข้อจำกัด

  • มีราคาสูงกว่า thermocouple
  • มีเวลาตอบสนองช้ากว่า thermocouple
  • มีความไวต่อการสั่นสะเทือนและการกระแทก

การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม

  • ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มที่ต้องการความแม่นยำสูงในการควบคุมอุณหภูมิ
  • ติดตั้งในระบบ HVAC ขนาดใหญ่ในอาคารอุตสาหกรรม
  • ใช้ในกระบวนการผลิตยาที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิอย่างเข้มงวด

Thermistor Temperature Gauge

Thermistor Temperature Gauge เป็นอุปกรณ์วัดอุณหภูมิที่ใช้หลักการเปลี่ยนแปลงความต้านทานไฟฟ้าของสารกึ่งตัวนำเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง มีความไวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ

หลักการทำงาน Thermistor ทำจากสารกึ่งตัวนำ เช่น โลหะออกไซด์ ที่มีความต้านทานเปลี่ยนแปลงอย่างมากเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปมีสองประเภท คือ NTC (Negative Temperature Coefficient) ที่ความต้านทานลดลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น และ PTC (Positive Temperature Coefficient) ที่ความต้านทานเพิ่มขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น การวัดความต้านทานที่เปลี่ยนแปลงจะถูกแปลงเป็นค่าอุณหภูมิ

ข้อดี

  • มีความไวสูงต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ทำให้เหมาะสำหรับการวัดในช่วงแคบที่ต้องการความละเอียดสูง
  • มีขนาดเล็ก ตอบสนองเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ
  • มีราคาถูกกว่า RTD

ข้อจำกัด

  • มีความเป็นเชิงเส้นต่ำ ทำให้ต้องใช้วงจรปรับแต่งสัญญาณที่ซับซ้อน
  • มีช่วงการใช้งานที่แคบกว่า RTD และ thermocouple
  • อาจเกิดการเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานที่อุณหภูมิสูงเป็นเวลานาน

การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม

  • ใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อวัดและควบคุมอุณหภูมิภายใน
  • ติดตั้งในระบบทำความเย็นขนาดเล็กในโรงงาน
  • ใช้ในเครื่องมือแพทย์ที่ต้องการการวัดอุณหภูมิที่แม่นยำในช่วงแคบ

Infrared Temperature Gauge

Infrared Temperature Gauge หรือเทอร์โมมิเตอร์อินฟราเรด เป็นอุปกรณ์วัดอุณหภูมิแบบไม่สัมผัส ที่อาศัยหลักการวัดการแผ่รังสีความร้อนของวัตถุ

หลักการทำงาน Infrared Temperature Gauge ตรวจจับรังสีอินฟราเรดที่แผ่ออกมาจากวัตถุ ซึ่งมีความเข้มแปรผันตามอุณหภูมิของวัตถุ รังสีนี้จะถูกรวบรวมด้วยระบบเลนส์และส่งไปยังตัวตรวจจับ (detector) ซึ่งจะแปลงพลังงานรังสีเป็นสัญญาณไฟฟ้า จากนั้นสัญญาณนี้จะถูกประมวลผลและแสดงเป็นค่าอุณหภูมิ

ข้อดี

  • สามารถวัดอุณหภูมิได้โดยไม่ต้องสัมผัสวัตถุ เหมาะสำหรับการวัดวัตถุที่เคลื่อนที่หรือมีอุณหภูมิสูงมาก
  • มีเวลาตอบสนองเร็วมาก เหมาะสำหรับการตรวจจับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างรวดเร็ว
  • สามารถวัดอุณหภูมิของพื้นที่กว้างได้ในเวลาอันสั้น

ข้อจำกัด

  • ความแม่นยำอาจได้รับผลกระทบจากค่าการเปล่งรังสี (emissivity) ของวัตถุ
  • อาจเกิดความคลาดเคลื่อนจากการสะท้อนความร้อนจากวัตถุอื่น
  • ไม่สามารถวัดอุณหภูมิผ่านวัสดุโปร่งใส เช่น แก้วหรือพลาสติกใส

การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม

  • ใช้ในการตรวจสอบอุณหภูมิของเตาหลอมโลหะในอุตสาหกรรมโลหะ
  • ติดตั้งในสายการผลิตอาหารเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิของผลิตภัณฑ์โดยไม่ต้องสัมผัส
  • ใช้ในการตรวจสอบการกระจายความร้อนในแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์

Fiber Optic Temperature Gauge

Fiber Optic Temperature Gauge เป็นเทคโนโลยีการวัดอุณหภูมิที่ใช้คุณสมบัติทางแสงของเส้นใยแก้วนำแสงที่เปลี่ยนแปลงตามอุณหภูมิ

หลักการทำงาน Fiber Optic Temperature Gauge อาศัยการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางแสงของเส้นใยแก้วนำแสงเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนแปลง เช่น การเปลี่ยนแปลงความเข้มของแสงที่สะท้อนกลับ หรือการเปลี่ยนแปลงความยาวคลื่นของแสงที่สะท้อนกลับ ระบบจะส่งแสงเข้าไปในเส้นใยแก้วนำแสงและวิเคราะห์แสงที่สะท้อนกลับมาเพื่อคำนวณอุณหภูมิ

ข้อดี

  • ไม่ได้รับผลกระทบจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีสัญญาณรบกวนสูง
  • สามารถวัดอุณหภูมิได้ในระยะไกลและในพื้นที่ที่เข้าถึงยาก
  • มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่อันตราย เนื่องจากไม่มีไฟฟ้าที่ปลายเซนเซอร์

ข้อจำกัด

  • มีราคาสูงกว่าระบบวัดอุณหภูมิแบบดั้งเดิม
  • อาจต้องการการดูแลรักษาที่ซับซ้อนกว่า โดยเฉพาะในกรณีที่เส้นใยแก้วนำแสงเสียหาย
  • อาจมีข้อจำกัดในการใช้งานที่อุณหภูมิสูงมาก เนื่องจากคุณสมบัติของเส้นใยแก้วนำแสง

การประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรม

  • ใช้ในโรงไฟฟ้าเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิของเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและหม้อแปลงไฟฟ้า
  • ติดตั้งในท่อส่งน้ำมันและก๊าซใต้ทะเลเพื่อตรวจสอบอุณหภูมิตลอดความยาวของท่อ
  • ใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ต้องการการควบคุมอุณหภูมิอย่างแม่นยำในสภาพแวดล้อมที่มีสนามแม่เหล็กไฟฟ้าสูง

สรุป

ทีนี้เราก็ได้รู้แล้วว่ามีประเภทไหนบ้างของ temperature gauge เมื่อเราเข้าใจความแตกต่างของอุปกรณ์เหล่านี้ เราก็จะสามารถเลือกใช้งานและเลือกซื้อได้อย่างถูกต้องนั่นเอง

หากยังเลือกไม่ถูก สามารถทักมาปรึกษาได้ที่ @Udysupply หรือ ช่องทางติดต่ออื่น ๆ เราพร้อมมอบสินค้าที่ตรงตามความต้องการมากที่สุดให้คุณ

3 thoughts on “Temperature gauge ประเภทต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมที่คุณควรรู้

  1. Pingback: ศัพท์เกี่ยวกับ Temperature Gauge ที่ต้องรู้

  2. Pingback: ส่วนประกอบและกลไกสำคัญของ Temperature Gauge

  3. Pingback: ปัจจัยสำคัญในการเลือก Temperature Gauge

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *